จากงบการเงินที่เปิดเผยมาพบว่า
การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิ 23.9% ในไตรมาสที่ 2 เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเป็นหลัก
รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ เพิ่มขึ้น 20.9% จากไตรมาส 2/2554 มาอยู่ที่ 15 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 2/2555 ซึ่งนับเป็นการขยายตัวที่สูงสุดของธนาคาร อันเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่ออย่างมากถึง 20.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี ที่แล้ว และการเพิ่มขึ้นอย่างมากของผลตอบแทนด้านสินเชื่อและจากการลงทุนของธนาคาร การขยายตัวของสินเชื่อที่สูงกว่าตลาดมาจาก 3 ส่วน ได้แก่ สินเชื่อ SME สินเชื่อเคหะ และ สินเชื่อรถยนต์ ซึ่งธนาคารได้มีการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาจากการที่ลูกค้ามีความต้องการในสินเชื่อดังกล่าวในระดับสูงเกินคาดหมาย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.22% สูงกว่าไตรมาสที่ผ่านมา
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 19.4% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากการเติบโตที่แข็งแรงต่อเนื่องของรายได้จากธุรกิจประกัน (เพิ่มขึ้น 42.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว) กำไรจากธุรกรรมเพื่อค้าและปริวรรต และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่สูงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ บริษัทประกันชีวิตที่ธนาคารถือหุ้นอยู่ 94.7% ยังคงมีผลประกอบการที่สูงกว่าตลาดโดยรวมอันเป็นผลจากการขายผ่านเครือข่ายสาขาที่แข็งแรงของธนาคาร
คุณภาพสินทรัพย์ ยังปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องแม้มีปัจจัยลบของสภาวะเศรษฐกิจโลกและมีผลกระทบจากสภาวะน้ำท่วม ในปีที่ผ่านมาอยู่บ้าง ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2/2555 สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ลดลงมาอยู่ที่ 2.25% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2540 (ลดลงมาจากระดับ 2.69% ณ สิ้นไตรมาส 2/2554 และ 2.39% ณ สิ้นไตรมาส 1/2555)
ดังนั้นเห็นได้ว่าการดำเนินงานของธนาคารไทยพาณิชย์นั้นตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงไตรมาสที่ 2/2555นี้แสดงถึงการที่ธนาคารมี ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจที่ถูกต้อง มีรูปแบบการทำธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ และมีการนำไปปฏิบัติในระดับชั้นนำ ความแข็งแกร่งเหล่านี้ถือเป็นตัวผลักดันหลักในการทำงานของกลุ่มธนาคาร
ไทยพาณิชย์ เพื่อมุ่งก่อให้เกิดความผูกพันอย่างลึกซึ้งในกลุ่มลูกค้าและพนักงานของธนาคาร อันเป็นปัจจัยหลักสำคัญที่จะทำให้ธนาคารเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างมูลค่าเพิ่ม แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว